Sunday, July 27, 2014

อาหารเสริมสำหรับเด็กน้อย

พ่อแม่บางคนหาความรู้มาอย่างดีว่า เวลาไหนควรให้ผลไม้อย่างกล้วยกับลูกได้ (4 เดือนเป็นต้นไป) เมื่อถึงเวลาก็จัดการป้อนกล้วยให้ลูก ปรากฏว่าลูกท้องผูกอย่างแรง ดูไปดูมาก็พบว่าแม่ครูดกล้วยป้อนลูกไปทั้งลูกเลย! จริงๆควรจะครูดเฉพาะที่เป็นเนื้อกล้วยส่วนที่เป็นผิวและลึกเข้าไปเพียงนิดหน่อยไม่ถึงไส้กล้วยเพราะส่วนนั้นจะทำให้ลูกท้องผูกได้เนื่องจากย่อยยากสำหรับลูกน้อย
อีกอย่าง อาหารเสริมสำหรับลูกน้อยสามารถเป็นอย่างอื่นด้วยก็ได้เช่น ฟักทองบดกับไข่แดง ข้าวบดมันเทศ ฟักทองบดกับปลาเป็นต้น จะได้ทำให้ลูกน้อยไม่เบื่อ  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องระมัดระวังในเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ

ยกตัวอย่างอาหารเสริมที่ สามารถทำให้ลูกน้อยทานได้เช่น

- ฟักทองบดกับนม : อุ่นนมพร้อมใส่ฟักทองสุกบดละเอียดคนให้เข้ากัน
- ฟักทองบดกับไข่แดง : ฟักทองบดตับกับนม + ไข่แดงต้มสุก
- ฟักทองบดกับปลา : ฟักทองสุกบดละเอียด + เนื้อปลาช่อนบดละเอียดผสมและปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลือง + น้ำแกงจืด
- มันฝรั่งบดกับไข่แดง : ละลายเนยสดด้วยไฟอ่อนใส่มันฝรั่ง + แครอทที่ต้มสุกบดละเอียด เติมนมอุ่น + ไข่แดง คนให้เข้ากันจนไข่สุก
- ข้าวบดแครอท + ปลาช่อน : ต้มข้าวสวย + แครอท + เนื้อปลาต้มสุกแล้วบดละเอียด
- ข้าวบดใบตำลึง + ปลาช่อน
- ข้าวบดเนื้อไก่ + ใบตำลึง
- ข้าวบดฟักทอง + ตับหมู
- ข้าวบดมันเทศ + ตับหมู
- ข้าวบดผักโขม + ไข่แดงต้มสุก
- ข้าวลดใบผักกาดขาว + เนื้อปลาช่อน
- ข้าวบดผักบุ้งจีน + เนื้อปลาช่อน
- ข้าวบดกระหล่ำดอกรับไข่แดงต้มสุก
- ซุปเนื้อปลากับไข่แดง : บดเนื้อปลาให้ละเอียดต้มกับน้ำแกงจืดใส่ไข่แดงคนจนสุก
- ฟักอ่อนไข่แดง : ฟักทองต้มสุกนิ่มใส่ไข่แดงคนจนสุกบดละเอียด
- ผักคะน้าตับไก่ : ก้าน + ยอดคะน้าสับละเอียด + ตับไก่ต้มสุก บดละเอียด
- ข้าวครูดไข่แดง + แครอท
- แครอท + ตับไก่บด
- ฟักทอง + ตับไก่บด
- ไข่แดงตุ๋นนมสด : ไข่แดงผสมน้ำมัน ตุ๋นจนสุกข้น
- ไข่แดงนึ่งกับผัก : ใบผักกาดขาว + ใบตำลึง + ฟักทอง
- สับละเอียดต้มสุกนุ่ม นำไปผสมกับไข่แดงตีให้เข้ากันเทใส่ภาชนะทนไฟนึ่งจนสุก
- ซุปฟักทอง: ฟักทองสุกบดละเอียด + น้ำแกง + แป้งข้าวโพด ตั้งไฟจนแป้งสุกปิดไฟ ใส่ครีมข้นคนให้เข้ากัน
- ซุปผักตำลึง : ยอด + ใบตำลึงสับต้มสุก + แป้งข้าวโพดคนจนแป้งสุก ปิดไฟใส่ครีมข้น คนให้เข้ากัน

   หมายเหตุ คุณแม่จะต้องดูว่าอายุของหนูน้อยเหมาะสมกับอาหารชนิดได

Wednesday, July 23, 2014

การอาบน้ำให้ลูกน้อย

อาบน้ำให้หนูน้อย ควรอาบน้ำให้ลูกน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น อาจเป็นช่วงสาย ๆ และช่วงเย็นก่อนค่ำ โดยการเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำอย่าง สบู่ แชมพู ฟองน้ำ ผ้าเช็ดตัว และอ่างอาบน้ำที่มีแผ่นกันลื่น จากนั้นจึงมาเตรียมน้ำใส่ลงในอ่างอาบน้ำ (กำหนดอุณหภูมิพอเหมาะ ไม่เย็นและร้อนจัดมากเกินไป) แล้วจึงค่อย ๆ วักน้ำขึ้นมาลูบเบา ๆ เพื่อให้ลูกได้ปรับตัว จากนั้นจึงสระผมก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยการประคองท้ายทอยและศีรษะของลูกเอาไว้ ใช้นิ้วโป้งและนิ้วก้อยพับใบหูลูกเอาไว้ นวดวนให้ทั่วศีรษะอย่างเบามือ จากนั้นจึงใช้ฟองน้ำช่วยล้างทำความสะอาด สำหรับการอาบน้ำให้เน้นทำความสะอาดตามจุดข้อพับ โดยเฉพาะซอกขาหนีบ รักแร้ และทวารหนักเพื่อลดการระคายเคืองและแหล่งสะสมเชื้อโรคบนผิว แต่หากคุณแม่มือใหม่คนไหนที่ยังไม่มั่นใจ จะใช้วิธีการอาบน้ำด้วยการให้ทารกนอนบนผ้ายาง แล้วใช้ฟองน้ำเช็ดตัวลูกก็ได้เช่นกันอาบน้ำให้หนูน้อย ควรอาบน้ำให้ลูกน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น อาจเป็นช่วงสาย ๆ และช่วงเย็นก่อนค่ำ โดยการเตรียมอุปกรณ์อาบน้ำอย่าง สบู่ แชมพู ฟองน้ำ ผ้าเช็ดตัว และอ่างอาบน้ำที่มีแผ่นกันลื่น จากนั้นจึงมาเตรียมน้ำใส่ลงในอ่างอาบน้ำ (กำหนดอุณหภูมิพอเหมาะ ไม่เย็นและร้อนจัดมากเกินไป) แล้วจึงค่อย ๆ วักน้ำขึ้นมาลูบเบา ๆ เพื่อให้ลูกได้ปรับตัว จากนั้นจึงสระผมก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยการประคองท้ายทอยและศีรษะของลูกเอาไว้ ใช้นิ้วโป้งและนิ้วก้อยพับใบหูลูกเอาไว้ นวดวนให้ทั่วศีรษะอย่างเบามือ จากนั้นจึงใช้ฟองน้ำช่วยล้างทำความสะอาด สำหรับการอาบน้ำให้เน้นทำความสะอาดตามจุดข้อพับ โดยเฉพาะซอกขาหนีบ รักแร้ และทวารหนักเพื่อลดการระคายเคืองและแหล่งสะสมเชื้อโรคบนผิว แต่หากคุณแม่มือใหม่คนไหนที่ยังไม่มั่นใจ จะใช้วิธีการอาบน้ำด้วยการให้ทารกนอนบนผ้ายาง แล้วใช้ฟองน้ำเช็ดตัวลูกก็ได้เช่นกัน


ที่มา www.kapook.com

Thursday, July 4, 2013

15 วิธีปราบอาการแพ้ท้อง


อาการแพ้ท้องในช่วงตั้งครรภ์เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเองได้ก็หายเองได้โดยไม่ต้องกินยาให้วุ่นวาย แต่แม่ตั้งครรภ์อาจใช้วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้ช่วยกำราบอาการแพ้ท้องได้ค่ะ


1.กินอาหารในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง เลือกทานผลไม้ผักสด และอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ขนมปัง หรือขนมปังกรอบ


2.เวลากินข้าว ให้ดื่มน้ำหลังอาหาร ไม่ใช่ประเภทข้าวคำน้ำอีกคำ จะทำให้คุณพะอืดพะอมเพราะอิ่มน้ำมากเกินไป


3.พยายามกินอะไรเบาๆ ก่อนนอน อาจจะเป็นนมสักแก้ว โยเกิร์ต ขนมปังหรือแซนด์วิชจะช่วยป้องกันอาการแพ้ท้องตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หรืออาจจะเป็นขนมปังกรอบหลังตื่นนอน หรือก่อนลุกจากเตียงก็ได้ค่ะ


4.ลืมตาตื่นแล้ว นอนพักสักครู่ อย่าเพิ่งรีบลุกพรวดพราด เพราะจะทำให้คลื่นไส้ได้ง่าย


5.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเครื่องเทศ เช่น แกงกะหรี่ อาหารทอด หรืออาหารที่มีความเป็นกรดสูงเพราะอาหารประเภทนี้ย่อยยาก


6.ไม่ควรแปรงฟันหลังอาหารทันที เพราะแปรงสีฟันที่คุณแหย่เข้าไปในปากอาจทำให้คุณอยากอาเจียนได้


7.จิบน้ำแร่หรือน้ำอัดลมเวลาคลื่นไส้ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้เช่นกัน


8.รับอากาศบริสุทธิ์อย่างสม่ำเสมอ


9.ถ้ากลิ่นของอาหารร้อนๆ ทำให้คุณคลื่นเหียนเวียนหัว ลองเปลี่ยนมาทานอาหารเย็นๆ ดูบ้างเผื่อจะดีขึ้น


10.ทานหรือดื่มอะไรที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว หรือจะฝานมะนาวแผ่นบางๆ ลงไปในน้ำชาก็เข้าทีดีเหมือนกัน

11.ขิงในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังขิง น้ำขิง ชาขิง หรือแม้แต่ขิงในรูปแคปซูลช่วยอาการแพ้ท้องได้ค่ะ


12.ห้ามเครียด หาเวลาผ่อนคลาย ว่างๆ คุณอาจจะนอนแช่น้ำอุ่นในอ่าง หรือนอนนิ่งๆ ฟังเพลงสบายๆ พูดคุยกับสามีถึงเรื่องที่คุณกังวล


13.ทานวิตามินบี 6 ขนาด 50 กรัม วันละ 2 เม็ด แต่ควรปรึกษาคุณหมอว่าจำเป็นสำหรับคุณแค่ไหน


14.เลือกทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ซึ่งพบมากในนม เนื้อสัตว์ตับ ไข่ ปลา สัตว์น้ำประเภทมีเปลือก ถั่ว พืชประเภทถั่ว ข้าวโพด หรือในรูปของอาหารเสริมก็ได้ มีงานวิจัยชี้ว่าผู้หญิงที่ทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีมีแนวโน้มที่จะแพ้ท้องน้อยกว่าค่ะ


15.ข้อสุดท้ายนี้ต้องอาศัยการร่วมมือร่วมแรงจากคนใกล้ตัว ก็ความรักและการดูแลเอาใจใส่จากคุณสามีนั่นล่ะค่ะเป็นวิธีปราบแพ้ท้องได้ชะงัดนัก




ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก Momypedia

Tuesday, May 7, 2013

การปฏิสนธิ

  • เมื่อไข่ตกจากรังไข่แล้ว จะเคลื่อนตัวไปตามท่อรังไข่ ซึ่งเยื่อบุท่อรังไข่จะมีขนช่วยพัดโบก และ นำพาไข่ไปจนถึงตำแหน่งที่จะพบกับอสุจิ ในขณะที่มีเพศสัมพันธ์จนถึงจุดสุดยอด ฝ่ายชายจะ หลั่งน้ำอสุจิ ซึ่งมีสเปิร์มถึง 400-500 ล้านตัวเข้าสู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิง
  • เมื่อฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิง สเปิร์มจะผ่านเข้าสู่โพรงมดลูก และผ่าน ไปยังท่อนำไข่และปีกมดลูก โดยปกติอสุจิจะเดินทางด้วยอัตรา 2-3 มิลลิเมตรต่อนาที แต่สเปิร์ม จะเคลื่อนที่ช้าลงในช่องคลอดที่มีสภาพเป็นกรด และเคลื่อนที่เร็วขึ้นเมื่อผ่านจากปากมดลูกเข้า ไปในโพรงมดลูกที่มีความเป็นด่าง ซึ่งกว่าอสุจิจะผ่านพ้นเข้าไปในท่อรังไข่ได้นั้น จำนวนอสุจิ 400-500 ล้านตัวในขณะหลั่ง จะเหลือรอดได้เพียงไม่กี่ร้อยตัวที่มีโอกาสไปผสมไข่ ส่วนหัวของอสุจิจะปล่อยสารย่อย (Enzyme) ซึ่งสามารถละลายผนังที่ห่อหุ้มปกป้องไข่ออกได้ และจะมีอสุจิเพียงตัวเดียวที่เจาะเข้าสู่ไข่ได้สำเร็จ อสุจิตัวอื่นๆ จะไม่สามารถเข้าไปได้อีก จาก นั้นอสุจิจะสลัดหางและย่อยส่วนหัว เพื่อปลดปล่อยโครโมโซมทั้ง 23 แท่งที่บรรจุอยู่ภายในส่วน หัวเข้าสู่ไข่ เพื่อจับคู่ของตัวเองกับโครโมโซมอีก 23 แท่งในไข่ และหลอมรวมตัวกันกลายเป็น เซลล์เซลล์เดียว เรียกว่า เกิดการปฏิสนธิขึ้น
  • หลังไข่เกิดการปฏิสนธิ เซลล์จะมีการแบ่งตัวทวีคูณในเวลาอันรวดเร็ว จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 ฯลฯ การแบ่งตัวเกิดอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ไข่ผสมแล้ว (Embryo – ตัวอ่อน) เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และภายในเวลา 7 วัน จะเคลื่อนไปถึงตำแหน่งที่จะฝังตัวลงใน เยื่อบุโพรงมดลูก ไข่ที่ผสมแล้วจะมีลักษณะกลม โดยประกอบด้วยเซลล์ประมาณ 100 เซลล์ เมื่อ ไข่ที่ผสมแล้ว (ตัวอ่อน) ฝังตัวลงในเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งมีลักษณะนุ่มและหนา เมื่อยึดเกาะกันมั่น คงดี จึงจะถือได้ว่าการปฏิสนธิเป็นไปอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์
  • ไข่ที่ผสมแล้ว (ตัวอ่อน - Embryo) จะยื่นส่วนอ่อนนุ่มแทรกลึกลงไปในผนังมดลูก เพื่อสร้างทางติด ต่อกับเลือดของแม่ และจะเจริญเป็นรกสร้างสาย สะดือและถุงน้ำคร่ำห่อหุ้มต่อไป ซึ่งตัวอ่อน จะมี เนื้อเยื่อพิเศษ 3 ชั้น ซึ่งต่อไปแต่ละชั้นจะสร้าง เป็น อวัยวะต่างๆ ของร่างกายทารกน้อย
ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : http://www.thaigoodview.com

Wednesday, May 23, 2012

น้ำมันปลา ดีกับแม่ท้องจริงหรือ...?

น้ำมันปลาคืออะไร
น้ำมันปลา หรือ Fish oil หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเหมือนกับน้ำมันตับปลา แต่ความจริงเป็นไขมันของปลาซึ่งมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จําเป็นต่อร่างกาย คือ กรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 (Omega-3) ซึ่งปลาทะเลในประเทศแถบอากาศหนาวนั้นจะมีกรดไขมันจําเป็นในปริมาณที่สูง และมีไขมันประเภทคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ในปริมาณที่ต่ำ จึงนิยมนําปลาทะเลเหล่านี้มาสกัดเอาน้ำมันปลา

มีประโยชน์กับแม่ท้องอย่างไร
ไขมันในน้ำมันปลาจะช่วยสร้างองค์ประกอบที่สําคัญของเซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกาย รวมทั้งเนื้อสมอง เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ควบคุมการเกิดลิ่มเลือด และสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย โดยเฉพาะโอเมก้า 3 จะช่วยลดการเกิดลิ่มเลือดที่จะไปอุดเส้นเลือดฝอยของหัวใจ และทําให้ไตรกลีเซอร์ไรด์ (Triglyceride) ซึ่งเป็นไขมันอันตรายลดต่ำลง 

การกินน้ำมันปลาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง จะช่วยลดอาการอักเสบของข้อกระดูกของแม่ท้องได้ ทั้งนี้แม่ท้องควรเริ่มทานน้ำมันปลาตั้งแต่อายุครรภ์ 7 สัปดาห์ โดยการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ถึงแม้โอเมเก้า 3 จะเป็นกรดไขมันที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แต่หากคุณแม่ท้องกินน้ำมันปลาชนิดเม็ดหรือแคปซูลมากเกินไป ก็จะเกิดการสะสมในร่างกายตามอวัยวะต่างๆ จนอาจจะก่ออันตรายได้ และหากบริโภคเกินความต้องการอาจก่อให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์ได้ นอกจากนี้ คุณแม่ท้องควรหยุดกินน้ำมันปลาเมื่อตั้งครรภ์ 6-7 เดือน เพราะจะทําให้เกล็ดเลือดจับตัวกันลดลง ซึ่งแม้เป็นผลดีที่ช่วยไม่ให้เกิดการอุดตันในหลอดเลือด แต่อาจทําให้เลือดแข็งตัวช้าเมื่อเกิดบาดแผลหรือผ่าตัด

ดังนั้น คุณแม่ท้องควรหลีกเลี่ยงการกิน

น้ำมันปลาในรูปของยาเม็ดหรือแคปซูล และหันมากินน้ำมันปลาจากการเลือกบริโภคอาหารแทน เพราะในอาหารจะมีความสมดุลของกรดไขมันต่างๆ อย่างพอเหมาะ และราคาถูกกว่าด้วย


พบในอาหารชนิดใด
กรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นส่วนประกอบของน้ำมันปลานั้น มีอยู่ในปลาชนิดต่างๆ ซึ่งปลาซาร์ดีนจะมีโอเมก้า 3 ในปริมาณที่สูง รวมถึงปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลากะพงแดง และยังพบได้ในกุ้งและปูทะเลด้วย 

นอกจากนี้ โอเมก้า 3 ยังมีอยู่ในธัญพืชชนิดต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต ถั่วอัลมอลต์ เมล็ดฟักทอง เป็นต้น


Mother&Care  VOL.4 NO.45 September 2008

Tuesday, May 22, 2012

ดื่มน้ำมะพร้าวช่วงท้อง ดีจริงหรือ ?



ยามตั้งครรภ์ คุณแม่จะได้รายชื่อสารพัดอาหารบํารุงครรภ์ จากทุกสารทิศ หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้นน้ำมะพร้าวเรียกว่าเป็นเครื่องดื่มสําหรับคนท้องเลยก็ว่าได้ ด้วยสรรพคุณที่ได้ยินกันมาว่า เป็นน้ำที่สะอาด ดื่มเข้าไปแล้ว จะทําให้เด็กในท้อง ตัวสะอาด คลอดออกมาแล้วลูกจะผิวสะอาด ไม่มีไขมันติดตามตัว ฉบับนี้เราได้หาคําตอบ มาให้คุณแม่กันค่ะ

ดื่มน้ำมะพร้าว ลูกในท้องตัวสะอาด    
จากการสอบถาม นพ.อนันต์ โลหะพัฒนะบํารุง กุมารแพทย์ คุณหมอได้ให้ความเห็นในเรื่องน้ำมะพร้าวว่าในน้ำมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันไม่อิ่มตัว ไขมันอิ่มตัวก็มี มีทั้งสองอย่าง ซึ่งเป็นข้อดี เพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดื่มน้ำมะพร้าว จะทําให้การสร้างไขตัวเด็กได้สีค่อนข้างขาว เลยอาจจะดูว่าเด็กออกมาตัวสะอาด คงไม่ใช่ออกมาแล้วเด็กไม่มีไข จริงๆ แล้วไขตัวเด็กนี้มีประโยชน์มาก เพราะจะทําให้เด็กคลอดง่าย ฉะนั้นคุณแม่ที่ดื่มน้ำมะพร้าวบ่อยๆ อาจจะทําให้ไขตัวเด็กมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพียงแต่สีจะสะอาด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร เนื่องจากเป็นธรรมชาติที่เด็กต้องมีไขมันห่อหุ้มตัว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิจากภายนอกด้วย

 ในน้ำมะพร้าวมีอะไรบ้าง
 เอ่ยถึงในแง่ธรรมชาติบําบัด น้ำมะพร้าว เป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะมีแร่ธาตุสําคัญต่อร่างกาย ได้แก่ โปรตีน น้ำตาล แคลเซียม โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส และไขมันที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แถมน้ำมะพร้าว ยังเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่เหมือนใครตรงที่ มะพร้าวมีลําต้นสูง กว่าต้นมะพร้าวน้ำจะออกดอกเป็นผล มีน้ำให้ได้ดื่มกัน ต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ มาแล้ว คนไทยจึงถือว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่บริสุทธิ์มาก
 
 ประโยชน์มากมาย
น้ำมะพร้าว สามารถดื่มเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้นิ่ว บํารุงเส้นเอ็น บํารุงกระดูก มีฤทธิ์เป็นกลาง สามารถขับพยาธิ ร่างกายสามารถดูดซึมกลูโคสจากน้ำมะพร้าวไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทําให้ร่างกายสดชื่น (ใครชื่นชอบน้ำอัดลมเพื่อดับกระหาย ลองเปลี่ยนเป็นน้ำมะพร้าวเย็นๆ สักแก้ว)
อาหารทุกชนิดถึงแม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ต้องมีข้อยกเว้น อย่างคนเป็นโรคไต โรคเบาหวานไม่ควรดื่มมาก และการซื้อน้ำมะพร้าวดื่ม ควรเลือกน้ำมะพร้าวอ่อนเป็นลูก ไม่ควรซื้อที่บรรจุขวดขาย ถ้าไม่แน่ใจในความสะอาด และสารฟอกขาวต่างๆ ที่สามารถฉีดใส่เข้าไปได้ (ส่วนมากพบในมะพร้าวเผา)


ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : Mother&Care Vol.3 No.29 May 2007

Monday, May 14, 2012

การตั้งครรภ์และอาหาร


เมื่อคุณตั้งครรภ์อาหารที่คุณรับประทานควรคัดเลือกอาหารที่มีคุณภาพเนื่องจากทุกๆสิ่งที่คุณรับประทานเข้าไปจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาของเด็กรวมทั้งสุขภาพของคุณแม่ มดลูกและการเตรียมน้ำนมสำหรับลูก

อาหารสุขภาพสำหรับคนตั้งครรภ์
หากก่อนตั้งครรภ์ท่านได้รับประทานอาหารที่ถูกโภคบัญญัติท่านไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าท่านยังไม่ได้รับประทานอาหารที่ถูกต้องยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มรับประทานอาหารที่ถูกต้อง
เพื่อให้แน่ใจว่าท่านไดรับประทานอาหารตามโภคบัญญัติให้ท่านรับประทานอาหารตามปิรามิดข้างล่าง

ภาพ:อาหาร1.gif

อาหารแบ่งเป็น 6 กลุ่มดังนี้
1. หมวดแป้งได้แก่ ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยวเป็นต้นให้รับวันละ 6-11 ส่วน
2. หมวดผักต่างๆให้รับประทาน 3-5 ส่วนซึ่งช่วยให้ร่างกายได้รับเกลือแร่และวิตามิน
3. หมวดผลไม้ 2-4 ส่วน
4. หมวดโปรตีนได้แก่เนื้อสัตว์ ถั่ว ให้รับวันละ 2-3 ส่วน
5. หมวดนมให้รับวันละ 3-4 ส่วนซึ่งร่างกายจะไดรับแคลเซียมเพิ่ม
6. หมวดไขมันและน้ำตาลรับให้น้อย
ปริมาณอาหาร 2500 แคลอรีเป็นปริมาณที่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์ระยะ 6 เดือนก่อนคลอด หากไม่แน่ใจว่าได้อาหารเพียงพอหรือไม่โปรดปรึกษาแพทย์ สารอาหารที่แนะนำคนท้อง

อาหารประเภทใดที่ช่วยลดอาการแพ้ท้อง
เป็นที่ทราบกันว่าอาหารมีผลต่อการเจริญและพัฒนาการของเด็กปริมาณอาหารและวิตามินได้กล่าวไว้แล้ข้างต้น เนื้อหาที่จะนำเสนอต่อไปเป็นอาหารที่ลดอาการที่เกิดจากการตั้งครรภ์

อาการท้องผูก
เป็นอาการที่พบบ่อยและสามารถหลีกเลี่ยงได้โดยการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารเช่นผักและผลไม้ ธัญพืชรวมทั้งให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว น้ำลูกพรุนสามารถลดอาการท้องผูกได้ดี

อาหารไม่ย่อย
วิธีช่วยลดอาการอาหารไม่ย่อยทำได้โดยแบ่งอาหารออกเป็นวันละ 5-6 มื้อ หลีกเลี่ยงน้ำระหว่างรับประทานอาหาร และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด รวมทั้งอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สเช่น ถั่ว

อาการแพ้ท้อง
ผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ในระยะแรกจะมีการคลื่นไส้อาเจียน ให้ลดอาการโดยการ
- ลดอาหารพวกมันๆแล้วให้มารับประทานอาหารพวกแป้งเช่น ขนมปัง ธัญพืช cracker
- บางท่านอาจจะดื่มน้ำขิง
- ให้ทานอาหารครั้งละน้อยแต่ให้บ่อยครั้ง
- ให้ดื่มน้ำระหว่างมื้ออาหารแทนการดื่มขณะรับประทานอาหาร
- ลดอาหารรสจัด
- เวลาเหนื่อยให้พัก
- อย่างดอาหารเป็นเวลานาน

อาหารประเภทไหนที่ไม่ควรรับประทานระหว่างตั้งครรภ์
- แอลกอฮอล์ การดื่มสุราจะทำให้เด็กที่เกิดมาปัญญาอ่อน หากท่านดื่มอยู่ให้รีบหยุดทันที
- อาหารที่ไม่ให้คุณค่าอาหารเช่น ลูกอม ข้าวโพดคั่ว น้ำหวาน น้ำอัดลม อาหารเหล่านี้จะทำให้น้ำหนักเกิน
- ปลาควรหลีกเลี่ยงปลาตัวใหญ่เช่น {swordfish or shark ,bluefish and striped bass}ปลาฉลามไม่ควรรับเกิน 1 มื้อต่อเดือนเนื่องจากมีสาร polychlorinated biphenyls (PCBs), ปลาทูน่าไม่เกินครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์เนื่อง
- จากอาจจะมีสารตะกั่วในปลาเหล่านี้ สำหรับปลาน้ำจืดอาจจะมียาฆ่าแมลงตกค้างอยู่ในชั้นไขมันให้เลือกปลาที่มีไขมันน้อยและหลีกเลี่ยงชั้นไขมัน
- เนยเหลวเนื่องจากอาจปนเชื้อแบคทีเรีย
- ไข่ดิบ เช่นไข่ลวก น้ำสลัด เพื่อลดการติดเชื้อ
- เนื้อสัตว์ดิบ เช่นปลาดิบ ลาบ น้ำตก หอยนางรมสดเป็นต้น เป็นลดการติดเชื้อแบคทีเรีย
- caffeine พบในน้ำชา กาแฟ ช็อกโกแลต ยาบางชนิด สารดังกล่าวอาจจะส่งผลเสียต่อทารกได้ควรหลีกเลี่ยงขณะตั้งครรภ์

คนท้องควรรับประทานตับหรือไม่
ตับเป็นอาหารที่ให้ทั้งโปรตีน เกลือแร่ โฟลิก ธาตุเหล็ก วิตามิน บี และวิตามิน เอ โดยเฉพาะวิตามิน เอในตับมีปริมาณมากเกินไปอาจจะทำให้เกิดความพิการแก่ทารกได้ แนะนำให้รับประทานวิตามินรวมที่มีวิตามิน เอไม่เกินวันละ 5000 iu ร่วมกับอาหารที่มีคุณภาพก็เพียงพอสำหรับทารก

น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับคนท้องควรเป็นเท่าใด
ภาพ:น้ำหนัก.jpg 

น้ำหนักของคนท้องจะค่อยๆเพิ่มสำหรับคนตั้งครรภ์แต่ละคนอัตราการเพิ่มของน้ำหนักจะไม่เท่ากันโดยทั่วไป 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์น้ำหนักจะเพิ่มประมาณ 1-2 กิโลกรัมหลังจากนั้นจะเพิ่มประมาณครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ ตารางด้านข้างแสดงน้ำหนักที่เหมาะสม
คนผอมหมายถึงคนที่มีดัชนีมวลกายน้อยกว่า 20
คนที่น้ำหนักปกติหมายถึงคนที่มีดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 20-25
คนที่มีน้ำหนักเกินจะมีดัชนีมวลกายมากกว่า 27


ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : http://www.panyathai.or.th

Thursday, May 10, 2012

เมื่อไรจึงจะเหมาะในการตรวจการตั้งครรภ์


เมื่อมีการตกไข่  ไข่จะมีอายุให้เชื้ออสุจิมาปฏิสนธิได้เพียง  1 วันเท่านั้น  เมื่อปฎิสนธิแล้วจะแบ่งตัวและเดินทางมาที่โพรงมดลูก  ฝังตัวเข้ากับเยื่อบุโพรงมดลูกในวันที่ 7  หลังการปฏิสนธิ  เมื่อตัวอ่อนฝังตัว  เราถือว่าเริ่มตั้งครรภ์  ตัวอ่อนจะเริ่มสร้างฮอร์โมน Beta HCG เพื่อกระตุ้นให้รังไข่สร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้เยื่อบุมดลูกสมบูรณ์มากขึ้น

Beta HCG  ถูกสร้างขึ้นมาจะเข้าไปในกระแสเลือด  จะมีความเข้มข้นมากขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น  และจะขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะ

เราใช้ฮอร์โมน Beta HCG  ในการตรวจภาวะการตั้งครรภ์โดยการเจาะเลือด  ตั้งแต่วันที่ 9-10  หลังจากปฏิสนธิ  และตรวจโดยการใช้ชุดตรวจปัสสาวะ  ตั้งแต่วันที่ 15 เป็นต้นไป  หลังจากวันดังกล่าว ความชัดเจนจะยิ่งมีมากขึ้น

ดังนั้น  ถ้าเราทราบวันตกไข่  หรือวันปฏิสนธิเราก็จะรู้ว่าควรจะตั้งครรภ์ได้เมื่อไร

ในกรณีที่ไม่ทราบวันตกไข่ ทราบแต่วันมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย ก็พอจะประยุกต์ใช้ได้คือ เมื่อมีเพศสัมพันธ์และเชื้ออสุจิเข้าไปที่ปากมดลูก  มันอาจจะมีชีวิตรอปฎิสนธิได้นานที่สุด 5 วัน  หมายความว่า  ถ้าไข่ตกภายใน 5 วัน หลังการมีเพศสัมพันธ์  ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้  ถ้าเกินนั้นไม่ควรจะมีการตั้งครรภ์

ดังนั้น ถ้ามีการตั้งครรภ์ ควรตรวจเลือดเป็นบวกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย 15 วัน  หรือตรวจปัสสาวะเป็นบวก หลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย 20 วันขึ้นไป ถ้าตรวจแล้วเป็นลบก็แปลว่าไม่ตั้งครรภ์  ตัวอย่างเช่น  ไม่ทราบวันตกไข่  มีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้าย 1  มกราคม   ไข่ที่ตกวันที่ 1-5 มกราคม  มีโอกาสได้รับปฏิสนธิ  ไข่ที่ตกวันที่ 6 มกราคม  หรือหลังจากนั้นไม่ควรได้รับการปฏิสนธิ  ดังนั้น  ถ้าตรวจเลือดวันที่  15  มกราคม  หรือ ตรวจปัสสาวะวันที่ 20  มกราคม  ก็จะบอกได้เลยว่าตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์

โดยสรุปก็คือ การตรวจปัสสาวะเพื่อการทดสอบด้วยตนเองเป็นเพียงการทดสอบเบื้องต้นที่จะบอกว่าตนเอง “น่าจะ”  ตั้งครรภ์หรือไม่  ถ้าได้ผลบวก  แต่อาการของเราไม่ตรงกับอาการที่น่าจะท้อง  หรือตรงกันก็ตาม  แต่ผลตรวจแตกต่างออกไปก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์ที่ใช้วิธีตรวจที่แม่นยำมากขึ้น  เช่นการตรวจเลือดหาระดับฮอร์โมนการตั้งครรภ์  หรือการทำ อัลตราซาวนด์  เป็นต้น



โดย พล.ต.รศ.นพ.ธีรศักดิ์  ธำรงธีระกุล  และทีมแพทย์ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากและ
ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : http://www.vibhavadi.com

Wednesday, May 9, 2012

5 รสนี้ดีอย่างไร

 
รสชาตินั้นนอกจากทำให้อาหารอร่อยแล้ว ยังเป็นตัวบ่งบอกถึงสารอาหารที่เราจะได้รับด้วย แล้วรสหวาน เค็ม เปรี้ยว ขม และเผ็ดนั้น มีผลต่อร่างกายคุณแม่ท้องอย่างไร แล้วควรเลือกกินแบบไหน เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

รสชาติสำคัญอย่างไร
ลิ้นเราสามารถรับรู้ได้ 4 รสชาติด้วยกัน คือ รสหวาน รสเค็ม รสเปรี้ยว รสขม ส่วนรสเผ็ดนั้น ถึงแม้ว่าลิ้นจะรับรสไม่ได้ แต่ความเผ็ดร้อนก็ทำให้อาหารมีความอร่อยมากยิ่งขึ้น หลายคนจึงชอบกินรสเผ็ดร้อนจัดจ้าน
แล้วคุณทราบไหมคะว่าความแตกต่างของรสต่างๆ นั้น ให้สารอาหารที่มีประโยชน์แตกต่างกันไป ซึ่งสำหรับคุณแม่ท้องไม่ควรกินอาหารเน้นไปที่รสใดรสหนึ่ง แต่ควรกินให้หลากหลาย และในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้ไดรับสารอาหารที่ครบถ้วน

1.รสหวาน
อาหารรสหวาน มักจะอยู่ในอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำผึ้ง น้ำตาล ขนมต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับแม่ท้อง ทำให้รู้สึกสดชื่น แจ่มใส ร่าเริง ลดอาการอ่อนเพลีย ช่วยดับกระหาย


ลองลิ้มรสหวาน
ถั่วเขียวต้มน้ำตาล น้ำอ้อย กล้วยอบ น้ำผึ้ง อินทผาลัม ลูกเกด ขนมหวาน



แม่ท้องควรรู้
แม่ท้องสามารถกินอาหารที่มีรสหวานได้ทุกวัน แต่ต้องจำกัดจำนวน และไม่ควรกินรสหวานจัด เพราะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ


2.รสเปรี้ยว
รสเปรี้ยวช่วยลดอาการคลื่นไส้ และอาการแพ้ของแม่ท้องในไตรมาสแรกได้เป็นอย่างดี ช่วยให้การย่อยและดูดซึมสารอาหารทำงานได้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ช่วยขับเสมหะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ ป้องกันอาการท้องผูกได้


ลองลิ้มรสเปรี้ยว น้ำมะนาว น้ำกระเจี๊ยบ มะขาม มะยม มะม่วงดิบ ยำวุ้นเส้น โป๊ะแตก สับปะรด กระท้อน



แม่ท้องควรรู้
อาหารที่มีรสเปรี้ยวมักมีพลังงานน้อยกว่าอาหารที่มีรสหวาน ไม่ทำให้อ้วนง่าย แต่ถ้าคุณแม่กินรสเปรี้ยวมากเกินไป อาจทำให้ท้องเสีย กระเพาะอาหารและลำไส้เกิดอาการระคายเคืองได้


3.รสเค็ม
อาหารรสเค็มจะมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด-ด่างในร่างกาย อาหารที่มีรสเค็มจะช่วยกระตุ้นต่อมรับรส ทำให้อาหารมีรสอร่อยมากขึ้น


ลองลิ้มรสเค็ม
ปลาหมึกแห้ง สาหร่ายทะเล กุ้งแห้ง หมูแดดเดียว บ๊วยเค็ม ผลไม้ดอง ผักกาดดอง



แม่ท้องควรรู้
แม่ท้องไม่ควรกินอาหารที่มีรสเค็มจัด เช่น อาหารหมักดอง อาหารตากแห้ง เพราะจะทำให้ร่างกายมีปริมาณโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ทำให้กระหายน้ำ ร้อนใน เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้ไตและหัวใจทำงานหนักมากขึ้น แม่ท้องควรกินอาหารที่มีความเค็มปานกลาง ไม่ควรปรุงรสเพิ่ม เพื่อลดปริมาณโซเดียม


4.รสขม
อาหารรสขมส่วนใหญ่มักมาจากพืชผักต่างๆ เช่น มะระ ผักโขม มะเขือพวง สะเดา ใบบัวบก ใบยอ ใบย่านาง ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ เช่น เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม แคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์สำหรับแม่ท้อง ช่วยบำรุงหัวใจ ลดการดูดซึมของไขมันและน้ำตาล มีใยอาหารสูง เป็นยาระบายธรรมชาติ ช่วยในการทำงานของระบบย่อยและดูดซึม


ลองลิ้มรสขม
ผัดมะระ สะเดาลวก แกงเห็ดใบย่านาง ห่อหมกใบยอ น้ำใบบัวบก ผัดผักโขม



แม่ท้องควรรู้
แม่ท้องที่มีอาการแพ้ในไตรมาสแรกอาจต้องระมัดระวังในการทานรสขม เพราะอาจไปกระตุ้นให้อาเจียนได้ง่าย และแม่ท้องที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็ควรกินอาหารในกลุ่มนี้บ่อยๆ เพราะจะช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล


5.รสเผ็ด
วัตถุดิบที่มีรสเผ็ด เช่น ขิง พริก กระเทียม พริกไท กระเพรา ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยขับเหงื่อ ขับลม การเผาผลาญอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย ทำให้แม่ท้องลดอาการอึดอัดแน่นท้อง กระตุ้นให้เจริญอาหาร กินอาหารได้มากขึ้น


ลองลิ้มรสเผ็ด
น้ำขิง ปลานึ่งขิง หมูทอดกระเทียมพริกไท ไก่ผัดกระเพรา



แม่ท้องควรรู้
แม่ท้องไม่ควรกินอาหารรสเผ็ดจัด โดยเฉพาะขณะท้องว่างเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารและลำไส้ได้


อาหารทุกรสชาติล้วนมีประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นเวลาทานอาหาร คุณแม่ก็ควรจะต้องบาลานซ์รสชาติให้ดีๆ นะคะ ไม่ควรเน้นไปที่รสชาติใดมากไป เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกในท้องค่ะ


โดย: มะขามเปียก
ที่ปรึกษาวิชาการ : แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นเนล


ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : ModernMom

Friday, May 4, 2012

การฉีดเชื้อในโพรงมดลูก (IUI)


การฉีดเชื้อผสมเทียมในโพรงมดลูก (IUI) คือ การฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง โดยใช้ท่อพลาสติกเล็กๆ สอดผ่านปากมดลูกแล้วฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในช่วงที่มีหรือใกล้กับเวลาที่มีไข่ตก 

วิธีนี้มักทำกับคู่ที่ฝ่ายชายมีเชื้ออสุจิผิดปกติ  คือ จำนวนน้อยเกินไปหรือเชื้ออสุจิแข็งแรงน้อยเกินไป  หรือมีปัญหามีปฏิกิริยากับปากมดลูกได้ง่าย  เข้าไปในโพรงมดลูกไม่ได้ 

นอกจากนี้ยังทำในกรณีที่ฝ่ายชายไม่สามารถปล่อยน้ำอสุจิในช่องคลอดฝ่ายหญิงได้ เช่น อวัยวะเพศมีปัญหาเรื่องการแข็งตัว, หลั่งเร็วเกินไป หรือมีโรคอื่น ๆ 

การทำ IUI ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากกว่าวิธีตามธรรมชาติ  เพราะจะได้จำนวนเชื้ออสุจิที่แข็งแรงจำนวนมากกว่าที่เข้าไปปฏิสนธิกับไข่ (จำนวนยิ่งมากยิ่งมีโอกาสอสุจิตัวหนึ่งปฏิสนธิกับไข่ได้มากขึ้น) 

ในรายที่มีภาวะมีบุตรยากที่หาสาเหตุไม่ได้  พบว่าการทำ IUI มีผลการตั้งครรภ์มากกว่าปกติเป็น 2 เท่า  ถ้าทำร่วมกับกระตุ้นการตกไข่ด้วยยารับประทาน  โอกาสมากขึ้นเป็น 3 เท่า  และถ้ากระตุ้นด้วยยาฉีด (control hyperstimulation) โอกาสมากขึ้นเป็น 4-6 เท่า

การทำ IUI อาจใช้เชื้ออสุจิของสามีหรือ เชื้ออสุจิของผู้บริจาค  ถ้าใช้เชื้อจากสามีงดเว้นมีเพศสัมพันธ์ 2-4 วันก่อนวันทำการฉีด (วันตกไข่) 

วิธีการคือเมื่อฝ่ายชายเก็บน้ำเชื้อมาได้จากการช่วยตัวเองแล้ว  เชื้ออสุจิจะถูกล้างด้วยน้ำยาให้แยกออกมาจากน้ำอสุจิแล้วเลือกเฉพาะตัวที่แข็งแรง ดูดออกมาใส่สายพลาสติกเล็ก ๆ สอดผ่านปากมดลูกฉีดเข้าไปในโพรงมดลูกโดยตรง ปล่อยให้เชื้ออสุจิว่ายไปหาไข่เอง

เวลาที่ใช้เตรียมอสุจิประมาณ 1-2 ช.ม. เวลาที่ใช้ฉีดไม่กี่นาที  ค่าใช้จ่ายไม่แพงมาก (เป็นหลักพันบาทต้น ๆ ) ไม่เจ็บ ทำเสร็จแล้วปฏิบัติตัวได้ตามปกติ ไม่ต้องอยู่โรงพยาบาล ไม่ต้องพักฟื้นใด ๆ ถ้าไม่ตั้งครรภ์ในการใส่ครั้งหนึ่ง อาจทำซ้ำในรายต่อไปได้อีก

โดย นพ.ธีรศักดิ์  ธำรงธีระกุลและทีมแพทย์ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : http://www.vibhavadi.com