Thursday, July 4, 2013

15 วิธีปราบอาการแพ้ท้อง


อาการแพ้ท้องในช่วงตั้งครรภ์เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเองได้ก็หายเองได้โดยไม่ต้องกินยาให้วุ่นวาย แต่แม่ตั้งครรภ์อาจใช้วิธีง่ายๆ ต่อไปนี้ช่วยกำราบอาการแพ้ท้องได้ค่ะ


1.กินอาหารในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง เลือกทานผลไม้ผักสด และอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ขนมปัง หรือขนมปังกรอบ


2.เวลากินข้าว ให้ดื่มน้ำหลังอาหาร ไม่ใช่ประเภทข้าวคำน้ำอีกคำ จะทำให้คุณพะอืดพะอมเพราะอิ่มน้ำมากเกินไป


3.พยายามกินอะไรเบาๆ ก่อนนอน อาจจะเป็นนมสักแก้ว โยเกิร์ต ขนมปังหรือแซนด์วิชจะช่วยป้องกันอาการแพ้ท้องตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หรืออาจจะเป็นขนมปังกรอบหลังตื่นนอน หรือก่อนลุกจากเตียงก็ได้ค่ะ


4.ลืมตาตื่นแล้ว นอนพักสักครู่ อย่าเพิ่งรีบลุกพรวดพราด เพราะจะทำให้คลื่นไส้ได้ง่าย


5.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเครื่องเทศ เช่น แกงกะหรี่ อาหารทอด หรืออาหารที่มีความเป็นกรดสูงเพราะอาหารประเภทนี้ย่อยยาก


6.ไม่ควรแปรงฟันหลังอาหารทันที เพราะแปรงสีฟันที่คุณแหย่เข้าไปในปากอาจทำให้คุณอยากอาเจียนได้


7.จิบน้ำแร่หรือน้ำอัดลมเวลาคลื่นไส้ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้เช่นกัน


8.รับอากาศบริสุทธิ์อย่างสม่ำเสมอ


9.ถ้ากลิ่นของอาหารร้อนๆ ทำให้คุณคลื่นเหียนเวียนหัว ลองเปลี่ยนมาทานอาหารเย็นๆ ดูบ้างเผื่อจะดีขึ้น


10.ทานหรือดื่มอะไรที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว หรือจะฝานมะนาวแผ่นบางๆ ลงไปในน้ำชาก็เข้าทีดีเหมือนกัน

11.ขิงในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังขิง น้ำขิง ชาขิง หรือแม้แต่ขิงในรูปแคปซูลช่วยอาการแพ้ท้องได้ค่ะ


12.ห้ามเครียด หาเวลาผ่อนคลาย ว่างๆ คุณอาจจะนอนแช่น้ำอุ่นในอ่าง หรือนอนนิ่งๆ ฟังเพลงสบายๆ พูดคุยกับสามีถึงเรื่องที่คุณกังวล


13.ทานวิตามินบี 6 ขนาด 50 กรัม วันละ 2 เม็ด แต่ควรปรึกษาคุณหมอว่าจำเป็นสำหรับคุณแค่ไหน


14.เลือกทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ซึ่งพบมากในนม เนื้อสัตว์ตับ ไข่ ปลา สัตว์น้ำประเภทมีเปลือก ถั่ว พืชประเภทถั่ว ข้าวโพด หรือในรูปของอาหารเสริมก็ได้ มีงานวิจัยชี้ว่าผู้หญิงที่ทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีมีแนวโน้มที่จะแพ้ท้องน้อยกว่าค่ะ


15.ข้อสุดท้ายนี้ต้องอาศัยการร่วมมือร่วมแรงจากคนใกล้ตัว ก็ความรักและการดูแลเอาใจใส่จากคุณสามีนั่นล่ะค่ะเป็นวิธีปราบแพ้ท้องได้ชะงัดนัก




ขอบคุณข้อมูลดีดีจาก Momypedia

Tuesday, May 7, 2013

การปฏิสนธิ

  • เมื่อไข่ตกจากรังไข่แล้ว จะเคลื่อนตัวไปตามท่อรังไข่ ซึ่งเยื่อบุท่อรังไข่จะมีขนช่วยพัดโบก และ นำพาไข่ไปจนถึงตำแหน่งที่จะพบกับอสุจิ ในขณะที่มีเพศสัมพันธ์จนถึงจุดสุดยอด ฝ่ายชายจะ หลั่งน้ำอสุจิ ซึ่งมีสเปิร์มถึง 400-500 ล้านตัวเข้าสู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิง
  • เมื่อฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิเข้าสู่ช่องคลอดของฝ่ายหญิง สเปิร์มจะผ่านเข้าสู่โพรงมดลูก และผ่าน ไปยังท่อนำไข่และปีกมดลูก โดยปกติอสุจิจะเดินทางด้วยอัตรา 2-3 มิลลิเมตรต่อนาที แต่สเปิร์ม จะเคลื่อนที่ช้าลงในช่องคลอดที่มีสภาพเป็นกรด และเคลื่อนที่เร็วขึ้นเมื่อผ่านจากปากมดลูกเข้า ไปในโพรงมดลูกที่มีความเป็นด่าง ซึ่งกว่าอสุจิจะผ่านพ้นเข้าไปในท่อรังไข่ได้นั้น จำนวนอสุจิ 400-500 ล้านตัวในขณะหลั่ง จะเหลือรอดได้เพียงไม่กี่ร้อยตัวที่มีโอกาสไปผสมไข่ ส่วนหัวของอสุจิจะปล่อยสารย่อย (Enzyme) ซึ่งสามารถละลายผนังที่ห่อหุ้มปกป้องไข่ออกได้ และจะมีอสุจิเพียงตัวเดียวที่เจาะเข้าสู่ไข่ได้สำเร็จ อสุจิตัวอื่นๆ จะไม่สามารถเข้าไปได้อีก จาก นั้นอสุจิจะสลัดหางและย่อยส่วนหัว เพื่อปลดปล่อยโครโมโซมทั้ง 23 แท่งที่บรรจุอยู่ภายในส่วน หัวเข้าสู่ไข่ เพื่อจับคู่ของตัวเองกับโครโมโซมอีก 23 แท่งในไข่ และหลอมรวมตัวกันกลายเป็น เซลล์เซลล์เดียว เรียกว่า เกิดการปฏิสนธิขึ้น
  • หลังไข่เกิดการปฏิสนธิ เซลล์จะมีการแบ่งตัวทวีคูณในเวลาอันรวดเร็ว จาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จาก 4 เป็น 8 จาก 8 เป็น 16 ฯลฯ การแบ่งตัวเกิดอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ไข่ผสมแล้ว (Embryo – ตัวอ่อน) เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และภายในเวลา 7 วัน จะเคลื่อนไปถึงตำแหน่งที่จะฝังตัวลงใน เยื่อบุโพรงมดลูก ไข่ที่ผสมแล้วจะมีลักษณะกลม โดยประกอบด้วยเซลล์ประมาณ 100 เซลล์ เมื่อ ไข่ที่ผสมแล้ว (ตัวอ่อน) ฝังตัวลงในเยื่อบุโพรงมดลูกซึ่งมีลักษณะนุ่มและหนา เมื่อยึดเกาะกันมั่น คงดี จึงจะถือได้ว่าการปฏิสนธิเป็นไปอย่างเรียบร้อยสมบูรณ์
  • ไข่ที่ผสมแล้ว (ตัวอ่อน - Embryo) จะยื่นส่วนอ่อนนุ่มแทรกลึกลงไปในผนังมดลูก เพื่อสร้างทางติด ต่อกับเลือดของแม่ และจะเจริญเป็นรกสร้างสาย สะดือและถุงน้ำคร่ำห่อหุ้มต่อไป ซึ่งตัวอ่อน จะมี เนื้อเยื่อพิเศษ 3 ชั้น ซึ่งต่อไปแต่ละชั้นจะสร้าง เป็น อวัยวะต่างๆ ของร่างกายทารกน้อย
ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : http://www.thaigoodview.com